ความเป็นไปได้ในการขยายวันลาคลอดจาก 90 วันเป็น 180 วันในกลุ่มหญิงวัยทํางานในประเทศไทย

ความเป็นไปได้ในการขยายวันลาคลอดจาก 90 วันเป็น 180 วันในกลุ่มหญิงวัยทํางานในประเทศไทย

Download 51
Total Views 154
File Size 270.69 KB
File Type pdf
Download



Title: ความเป็นไปได้ในการขยายวันลาคลอดจาก 90 วันเป็น 180 วันในกลุ่มหญิงวัยทํางานในประเทศไทย
Authors: นิศาชล เศรษฐไกรกุล,ชมพูนุท โตโพธิ์ไทย, ฐิติกร โตโพธิ์ไทย, ทักษพล ธรรมรังสี, สุลัดดา พงษ์อุทธา, วาทินี คุณเผือก, ภูษิต ประคองสาย
Issue Date: กรกฎาคม - สิงหาคม 2558
Publisher: กระทรวงสาธารณสุข

Abstract

ปัจจุบันแรงงานหญิงมีสิทธิลาคลอด 90 วันตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 และพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 ซึ่งน้อยกว่าข้อตกลงของ International Labour Organization (ILO) ในอนุสัญญาฉบับที่ 183 ปี ค.ศ.2000 ที่กําหนดให้หญิงทํางานควรมีสิทธิ์ลาคลอดอย่างน้อย 14 สัปดาห์ อย่างไรก็ตาม จากหลายการศึกษาพบว่าหากแม่ได้ลาคลอดในระยะเวลาที่เหมาะสม รวมทั้งหน่วยงานมีนโยบายสนับสนุนเกี่ยวกับการให้นมบุตร จะทําให้ มารดาสามารถเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้นานขึ้น วัตถุประสงค์ของการศึกษานี้เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการขยายวันลาคลอดจาก 90 วัน เป็น 180 วัน หรือการใช้มาตรการอื่นที่เหมาะสมในการสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ของหญิงทํางานในประเทศไทย โดยทําการศึกษาด้วยวิธีการสํารวจภาคตัดขวาง และเก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสัมภาษณ์แบบเผชิญหน้าผ่านแบบสอบถาม การสัมภาษณ์เชิงลึก และการสนทนากลุ่ม ซึ่งผลการศึกษาพบว่า เหตุผลส่วนใหญ่ที่แรงงานหญิงลาคลอดไม่ครบ 90 วันคือการไม่อยากขาดรายได้และการขาดแคลนบุคลากรของหน่วยงาน และผลกระทบหากมีการขยายวันลาคลอดไป 180 วัน คือกลุ่มลูกจ้างจะมีผลกระทบต่อรายได้และเศรษฐกิจในครัวเรือน ขณะที่นายจ้างจะมีผลกระทบในเรื่องของกําลังคนในการดําเนินงาน ดังนั้นกลุ่มเป้าหมายมีข้อเสนอแนะต่อการขยายวันลาคลอด คือ ควรจะมีการกําหนดเป็นกฎหมายเกี่ยวกับการลาคลอดให้ชัดเจนและมีการบังคับใช้อย่างจริงจัง รวมถึงควรมีกฎหมายอื่นที่เป็นแรงจูงใจให้กับนายจ้างและลูกจ้าง นอกจากนี้อาจกําหนดลักษณะวันลาคลอดให้มีความยืดหยุ่นหรือมีหลายทางเลือกตามความต้องการของลูกจ้าง หรือค่อยๆ เพิ่มสิทธิการลาคลอด เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการเสนอแนวทางอื่นเพื่อสนับสนุนการเลี้ยงลูกในสถานประกอบการ คือ การจัดมุมนมแม่ การจัดตั้งศูนย์เลี้ยงเด็กในสถานประกอบการ และการเพิ่มเวลาพักเบรกให้แม่ที่ให้นมบุตร จากผลการศึกษายังบ่งชี้ว่า การสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ของหญิงวัยทํางานต้องเป็นการทํางานร่วมกันแบบบูรณาการโดย กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรมีบทบาทในการให้ความรู้และช่วยเหลือแม่ในสถานประกอบการ เกี่ยวกับการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ และประเทศไทยควรมีการดําเนินงานด้านกฎหมาย และด้านสังคม ควบคู่กันไปด้วย